ผักวอเตอร์เครสมีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ มีประโยชน์ที่จะช่วยต้านมะเร็ง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคกระดูกพรุน ลดน้ำหนัก และปกป้องสุขภาพดวงตา
วอเตอร์เครส คืออะไร?
วอเตอร์เครส (Watercress) คือ ผักที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ และมักจะเรียกกันว่า “สลัดน้ำ” ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Nasturtium officinale W.T. Aiton1 โดยวอเตอร์เครสนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ พันธุ์สีเขียว และพันธุ์สีแดง ซึ่งจะมีลักษณะลำต้น และใบคล้ายกับผักเป็ดของไทย แต่จะแตกต่างกันตรงที่วอเตอร์เครสจะมีความยาวของใบมากกว่า นิยมปลูกในแถบภาคเหนือ และภาคใต้ เป็นผักที่ปลูกง่าย โตเร็ว สามารถกินได้ทั้งแบบสด กินคู่กับน้ำสลัด หรือนำไปประกอบอาหารเมนูอื่นๆ และอุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงมีสรรพคุณอีกมากมาย จึงทำให้กลุ่มคนรักสุขภาพนิยมกินผักวอเตอร์เครสกันเป็นอย่างมาก
ประโยชน์ของวอเตอร์เครส
วอเตอร์เครส เป็นผักที่อุดมไปด้วยสารอาหาร แร่ธาตุ และวิตามินอย่างมากมาย ทำให้ผักวอเตอร์เครสนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งในด้านสุขภาพ และลดโอกาสในการเกิดโรคได้ โดยประโยชน์ของวอเตอร์เครส มีดังนี้
บำรุงหัวใจและหลอดเลือด
วอเตอร์เครสมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงหัวใจ และหลอดเลือดได้ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะแคโรทีนอยด์ ที่มีส่วนช่วยในการควบคุมความดันโลหิต ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ภาวะหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมองได้2 รวมถึงยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยเสริมการทำงานของเยื่อบุผนังหลอดเลือด และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดได้3
วอเตอร์เครส
สมุนไพรบำรุงหัวใจ
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
วอเตอร์เครสมีสรรพคุณในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี เพราะวอเตอร์เครสมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญอย่างฟีนอลิก (Phenolic) และฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ในปริมาณมาก จึงสามารถช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ที่เป็นปัจจัยในการทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ และก่อให้เกิดการอักเสบ ที่เป็นสาเหตุหลักในการเกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมาในอนาคต4
ลดโอกาสเกิดมะเร็ง
วอเตอร์เครสมีสรรพคุณช่วยลดโอกาสในการเกิดมะเร็งได้ เพราะมีวิตามิน และแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยในการยับยั้ง และป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง รวมถึงช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังบริเวณอื่นๆ ได้ เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม และประโยชน์ของวอเตอร์เครสนั้นยังสามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดมะเร็งที่มีสาเหตุมาจากควันบุหรี่ สารพิษ หรืออาหารได้ด้วย3
ป้องกันโรคกระดูกพรุน
วอเตอร์เครสมีสรรพคุณที่ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน เพราะวอเตอร์เครสมีวิตามิน และแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อการบำรุงกระดูกอย่างแคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินซี และวิตามินเค ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกให้มีความแข็งแรง ชะลอการเสื่อมสภาพ และช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคกระดูกพรุน4
เสริมภูมิคุ้มกัน
ผักวอเตอร์เครสมีสรรพคุณที่ช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้มีความแข็งแรง เพราะมีวิตามินหลากหลายชนิดที่มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินเค ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้ดีขึ้น และแข็งแรงมากขึ้น3
ป้องกันสุขภาพดวงตา
ผักวอเตอร์เครสมีสรรพคุณที่ช่วยในการป้องกันสุขภาพของดวงตา เพราะมีวิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อการบำรุงดวงตาอย่างแคโรทีนอยด์ที่จำเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ลูทีน และซีแซนทีน ที่มีส่วนช่วยในการชะลอการเสื่อมสภาพของจอประสาทตา3 และยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาด้วย5
ช่วยลดความดันโลหิต
ผักวอเตอร์เครสมีสรรพคุณในการช่วยลดความดันโลหิต เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญอย่างแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ช่วยลดความดันโลหิตได้5 รวมถึงยังมีแคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียม ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ถ้าหากได้รับไม่เพียงพอ อาจทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้6
ช่วยลดโอกาสเสี่ยงโรคเบาหวาน
ผักวอเตอร์เครสมีสรรพคุณในการช่วยลดโอกาสการเกิดโรคเบาหวานได้ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างกรดอัลฟาไลโปอิก (ALA) ที่มีส่วนช่วยในการลดระดับกลูโคส และเพิ่มความไวของอินซูลิน ที่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของโรคเบาหวาน และป้องกันการเกิดปฏิกิริยาในผู้ป่วยเบาหวานที่เกิดจากความเครียดได้7
เพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย
ผักวอเตอร์เครสมีสรรพคุณในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย เพราะวอเตอร์เครสมีปริมาณไนเตรตค่อนข้างสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณไนตริกออกไซด์ในเลือด ช่วยผ่อนคลายหลอดเลือด ลดปริมาณออกซิเจนในระหว่างการออกกำลังกาย และช่วยลดความดันโลหิตในขณะที่พักออกกำลังกาย ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการออกกำลังกายมากขึ้น7
วิธีกินวอเตอร์เครส
สำหรับวิธีการกินวอเตอร์เครสนั้นมีหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการกินเป็นอาหารทั่วไป หรือกินในรูปแบบอาหารเสริม โดยแต่ละวิธีมีรายละเอียด ดังนี้
อาหารเสริม
วิธีการกินวอเตอร์เครสแบบอาหารเสริม เป็นวิธีที่วอเตอร์เครสนั้นจะมาในรูปแบบของแคปซูล แบบอัดเม็ด หรือแบบอื่นๆ เพื่อให้สะดวกต่อการกิน กินได้ง่าย ไม่ขม ผู้ที่ไม่ชอบกินผักก็สามารถกินได้ โดยวิธีการกินวอเตอร์เครสแบบอาหารเสริมนั้นควรกินในปริมาณที่เหมาะสม โดยอาจจะมีคำแนะนำระบุไว้ที่ข้างขวด เพราะถ้าหากกินเยอะเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้
วอเตอร์เครส
สมุนไพรบำรุงหัวใจ
นำมาปรุงอาหาร
วิธีการกินวอเตอร์เครสแบบปรุงอาหาร เป็นวิธีการกินที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มคนรักสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะวอเตอร์เครสสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเมนูสลัดผัก แซนด์วิช ซุปวอเตอร์เครส หรือผัดผักวอเตอร์เครส เป็นต้น โดยวิธีการกินวอเตอร์เครสแบบการนำมาปรุงอาหารนั้นควรกินประมาณ 50-100 กรัมต่อวัน7 เพราะเป็นปริมาณที่วอเตอร์เครสมีรสชาติอร่อย ถ้าหากกินน้อยไปก็อาจจะไม่ได้รส หรือถ้ากินมากไปก็จะมีกลิ่นเหม็นเขียว
ข้อควรระวังก่อนกินวอเตอร์เครส มีอะไรบ้าง
ถึงแม้ว่าวอเตอร์เครสจะเป็นผักที่มีคุณประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย แต่การกินผักวอเตอร์เครสในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจส่งผลข้างเคียงได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการท้องเสีย ท้องไส้ปั่นป่วน หรือปวดท้อง รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตได้
นอกจากนี้ วอเตอร์เครสยังสามารถส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนบางกลุ่มได้อีกด้วย โดยกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงการกินวอเตอร์เครสทั้งในรูปแบบอาหารเสริม และอาหารทั่วไป มีดังนี้
- กลุ่มวัยเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 4 ปี
- กลุ่มสตรีมีครรภ์ หรือคุณแม่ให้นมบุตร
- ผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร
- ผู้ป่วยโรคไต
ดังนั้น ผู้รักสุขภาพที่อยากกินวอเตอร์เครสให้มีความปลอดภัยต่อสุขภาพ ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน เลือกผักวอเตอร์เครสที่มีความสด สะอาด ใบ และก้านมีสีเขียวสด และกินภายใน 3 วันหลังจากซื้อมาแล้ว7 เพื่อความปลอดภัย และเพื่อคุณค่าทางสารอาหารนั่นเอง
สรุป
วอเตอร์เครสคือผักที่อุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ มากมาย จนได้ฉายาว่าเป็น “ราชินีผัก” ที่สามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคร้ายต่างๆ เช่น มะเร็ง รวมถึงช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ และหลอดเลือด ชะลอการเสื่อมสภาพของร่างกาย และป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคกระดูกพรุน เป็นต้น และยังช่วยป้องกันสุขภาพดวงตาอีกด้วย โดยการกินวอเตอร์เครสนั้นสามารถกินได้ทั้งแบบอาหารเสริม และนำมาประกอบอาหาร แต่ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ ตามมาได้