เอลเดอร์เบอร์รี (Elderberry) เป็นผลไม้อายุวัฒนะของชาวตะวันตก มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ  เอลเดอร์เบอร์รีหรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า Sambucus เป็นผลไม้ลูกเล็กที่มีสีเข้มซึ่งเต็มไปด้วยประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ถูกนำมาใช้ในยาแผนโบราณมาอย่างยาวนาน เพื่อเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ต่อสู้กับการติดเชื้อ และบรรเทาอาการอักเสบ 

มีการศึกษาที่แสดงว่าเอลเดอร์เบอร์รีมีสรรพคุณในการเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกัน ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพ หรือแม้แต่ยับยั้งไวรัสเริม 

ผลการวิจัย 

  • วารสาร Phytotherapy Research16 พบว่าเอลเดอร์เบอร์รีมีคุณสมบัติต้านไวรัสและอาจมีผลในการต่อต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Vlachojannis et al., 2010)
  • วารสาร BMC Complementary and Alternative Medicine17 พบว่าสารสกัดเอลเดอร์เบอร์รียับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคในระบบทางเดินหายใจและไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Krawitz et al., 2011)

  • Journal of Dietary Supplements18 แนะนำว่า เอลเดอร์เบอร์รีอาจช่วยเพิ่มการทำงานของภูมิคุ้มกัน และลดความรุนแรงและระยะเวลาของอาการหวัดและไข้หวัดใหญ่ (Porter et al., 2017)

ด้วยผลลัพธ์ของงานวิจัยที่มีแนวโน้มดังกล่าวข้างต้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เอลเดอร์เบอร์รีได้รับชื่อเสียงในฐานะผลไม้อายุวัฒนะ 

ประโยชน์และสารอาหารที่อยู่ในเอลเดอร์เบอร์รี

ประโยชน์และสารอาหารที่อยู่ในเอลเดอร์เบอร์รี

ด้วยสรรพคุณที่หลากหลาย เอลเดอร์เบอร์รีจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในพืชที่ทรงพลังที่สุดในการแพทย์พื้นบ้าน ได้ถูกเรียกว่าเป็นหีบยาของบิดาแห่งวงการแพทย์อย่างฮิปโปเครตีส5

นอกจากสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว เอลเดอร์เบอร์รียังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกหลายชนิด เช่น วิตามิน A, B, C โพแทสเซียม แคลเซียม และธาตุเหล็ก ซึ่งผลเบอร์รี่นี้ขึ้นชื่อเรื่องสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งสามารถช่วยปกป้องร่างกายจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระและลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

หนึ่งในสารต้านสารอนุมูลอิสระที่พบในเอลเดอร์เบอร์รี คือ รูติน (Rutin) เป็นสารที่ช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนและนำวิตามินซีมาใช้ นอกจากนี้ ยังช่วยในระบบการหมุนเวียนของเลือด ช่วยให้หลอดเลือดแดงและหลอดเลือดฝอยยืดหยุ่นและแข็งแรง4 

เสริมภูมิคุ้มกัน 

  • วิตามิน A, B, C เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันไม่ให้ติดเชื้อหวัด รวมทั้งอาการต่างๆ เช่น ไข้ อาการปวดหัว และน้ำมูกไหล11
  • Anthocyaninsต่อต้านการติดเชื้อจากทางเดินหายใจ เช่น หวัด ร่นระยะเวลาในการรักษาและลดความรุนแรงจากอาการหวัด3,9 ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการอักเสบ ปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ5 ท้องผูก ความเครียด

ต้านอนุมูลอิสระ 

  • Flavonoids เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำหน้าที่ต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชัน จึงช่วยยับยั้งและหยุดปฏิกิริยาลูกโซ่ของอนุมูลอิสระได้ 
  • Phenolic Acids4 มีฤทธิ์เป็นสารต้านปฏิกิริยาออกซิเดชันและการกลายพันธุ์ ทำหน้าที่กำจัดอนุมูลอิสระ
  • Anthocyanins3 เพิ่มการต้านอนุมูลอิสระในเลือดและความเครียด5 มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบและความเสียหายจากอนุมูลอิสระในเซลล์ ลดการอักเสบในผู้ที่มีภาวะ Metabolic Syndrome

มีการค้นพบในงานวิจัยบางชิ้นว่า เอลเดอร์เบอร์รีอาจมีฤทธิ์ในการป้องกันมะเร็งบางชนิดโดยการยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งและลดความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น

ดูแลระบบประสาทและสมอง

  • Antioxidant มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถป้องกันความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันและการเสื่อมของระบบประสาท ในบางงานวิจัยยังพบว่า เอลเดอร์เบอร์รีช่วยเพิ่มความจำและการทำงานของสมอง

ลดความเสี่ยงโรคดวงตา

  • วิตามิน A ช่วยบำรุงสายตาและมีส่วนช่วยในการมองเห็น
  • วิตามิน B6 ช่วยป้องกันโรคทางประสาท

เอลเดอร์เบอร์รีมีประโยชน์ต่อดวงตา โดยสามารถป้องกันดวงตาจากโรคต้อหินและจอประสาทตาเสื่อม โดยวิตามินสองชนิดนี้มีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพดวงตาที่ดี19

เสริมหัวใจแข็งแรง

  • Flavonoids  มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่อาจจะส่งผลต่อหัวใจ ลดความดันในเลือด2,10 และคอเรสเตอรอลุ2, 6
  • Tannins and Flavonoids ป้องกันการทำลายเซลล์ในร่างกายที่นำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ11
  • วิตามิน C ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

ป้องกันโรคโลหิตจาง

  • วิตามิน C ช่วยดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหาร ลดความเสี่ยงของโรคโลหิตจาง  
  • Antioxidant สารต้านอนุมูลอิสระเป็นแหล่งของธาตุเหล็ก12 ในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง 
  • ธาตุเหล็ก ป้องกันการขาดธาตุเหล็กที่ก่อให้เกิดภาวะโลหิตจาง13 ลดการเกิดลิ่มเลือด4

ลดอาการแพ้และการอักเสบของผิวหนัง

  • Quercetin ลดอาการแพ้และการอักเสบของผิวหนัง3
  • Anthocyanins มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
  • Bioactives ได้แก่ Tannins และ Flavonoids ป้องกันการบาดเจ็บของเซลล์จากปัจจัยแวดล้อม11

เอลเดอร์เบอร์รีสามารถรักษาโรคหัวใจ มะเร็ง ข้อต่ออักเสบ ภูมิแพ้ รวมทั้งโควิด-193 

ในงานวิจัยบางชิ้นพบว่า ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังภูมิแพ้ ซึ่งเป็นภาวะที่ผิวหนังมีการอักเสบจากภูมิแพ้ การนำสารสกัดเอลเดอร์เบอร์รีไปใช้เฉพาะที่พบว่า ช่วยลดการอักเสบและปรับปรุงการทำงานของเกราะป้องกันผิว

วิธีการกินเอลเดอร์เบอร์รีอย่างปลอดภัย

ผลเอลเดอร์เบอร์รีควรกินเฉพาะผลที่สุกแล้วเท่านั้น เนื่องจากเอลเดอร์เบอร์รีที่ยังไม่สุกมีสารพิษสะสมอยู่ตามราก ใบ และลำต้น ซึ่งสามารถปล่อยไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกายและทำให้ร่างกายป่วยได้3

นอกจากนี้ ในส่วนของการนำไปประกอบอาหารหรือถนอมอาหาร เอลเดอร์เบอร์รีสามารถใช้ทำแยม น้ำเชื่อม และชาได้ ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกในการเก็บรักษา คงคุณประโยชน์ผลไม้ไว้เพื่อกินตลอดทั้งปี 

จากการวิจัยชี้ให้เห็นถึงสรรพคุณของเอลเดอร์เบอร์รีว่าอาจส่งเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันได้ โดยเพิ่มการผลิตไซโตไคน์ ซึ่งเป็นโมเลกุลส่งสัญญาณที่สำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน จึงสรุปได้ว่าอาหารเสริมเอลเดอร์เบอร์รีมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่2 เมื่อรับประทานในปริมาณที่แนะนำ

ข้อควรระวังในการกินเอลเดอร์เบอร์รี

ข้อควรระวังในการกินเอลเดอร์เบอร์รี

ถึงแมัว่าเอลเดอร์เบอร์รีจะประกอบไปด้วยสรรพคุณในการรักษามากมาย แต่การบริโภคเอลเดอร์เบอร์รีในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย3 จนร่างกายอ่อนแรงได้

กลุ่มที่ไม่เหมาะแก่การรับประทาน ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร15 เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะคนที่มีโรคภูมิแพ้ตัวเองุ6 

แม้เอลเดอร์เบอร์รีเป็นผลไม้ที่กินได้ตามธรรมชาติ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค

ผู้ที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนกินเอลเดอร์เบอร์รี

  • เด็ก หญิงตั้งครรภ์ และหญิงที่กำลังให้นมบุตร ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอในการยืนยันว่าการบริโภคเอลเดอร์เบอร์รีปลอดภัยกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ หญิงตั้งครรภ์และหญิงในช่วงให้นมบุตร จึงอาจเกิดอันตรายได้เมื่อบริโภคเข้าไปแล้ว3,14,15
  • ผู้มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน หากกินเข้าไปจะไปกระตุ้นอาการแพ้ ทำให้มีอาการแย่ลง
  • ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด เช่น ยากดภูมิคุ้มกันหรือยาขับปัสสาวะ ควรระมัดระวังในการบริโภคเอลเดอร์เบอร์รี เนื่องจากสารในผลไม้ชนิดนี้อาจะทำปฏิกิริยาตอบโต้ก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ไปเพิ่มฤทธิ์ของยาภูมิคุ้มกันหรือทำให้ความดันโลหิตต่ำ
  • ผู้มีอาการแพ้ บางงานวิจัยพบว่าการแพ้เอลเดอร์เบอร์รี อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น คัน บวม และหายใจลำบาก โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการแพ้พืชในตระกูล Adoxaceae ซึ่งรวมถึงเอลเดอร์เบอร์รี รวมทั้งอาการแพ้อาหารอื่นๆ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคเอลเดอร์เบอร์รีหรือพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนการบริโภคเอลเดอร์เบอร์รี5,8,9,10 

สรุป

เอลเดอร์เบอร์รี ผลไม้จิ๋วสรรพคุณแจ๋ว อุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ และแร่ธาตุ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ เป็นที่รู้จักในนามผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ประโยชน์ในด้านการรักษา เช่น ช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการหวัดและไข้หวัดใหญ่2,9 และป้องกันความเครียด 

เป็นยาสามัญประจำบ้านหรือการรักษาตามธรรมชาติที่ได้รับความนิยมในช่วงฤดูหนาวและไข้หวัดใหญ่ แม้แต่ช่วงโควิด 

การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมที่มีส่วนผสมของเอลเดอร์เบอร์รีนอกจากจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันแล้ว ยังมีคุณสมบัติโดดเด่นหลายด้านทั้งโรคโลหิต โรคหัวใจ รวมทั้งการอักเสบของผิวหนัง การทำงานของการรับรู้ ป้องกันมะเร็งบางชนิด และการทำงานของหัวใจ 

โดยมักจะพบในอาหารเสริมรูปแบบ กัมมี่ แคปซูลและไซรัป เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบรสชาติหรือกินผลไม้สด 

ท้ายนี้ อาหารเสริมเอลเดอร์เบอร์รีสามารถเป็นตัวช่วยที่เป็นประโยชน์สำหรับการมีสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม ควรหมั่นออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรง

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Hunter, C. (n.d.). Elderberry History, Folklore, Myth and Magic. The Practical Herbalist. Retrieved May 4, 2023.

  2.  Butler, N. (2018, October 9). Elderberry: Health benefits, uses, and risks. Medical News Today. Retrieved May 4, 2023.

  3. Clark, A., & Wong, C. (2022, November 22). Quercetin: Side Effects, Dosage, and Interactions. Verywell Health. Retrieved May 4, 2023.

  4. Wilson, D. R., & Gotter, A. (2017, January 12). The Potential Health Benefits of Rutin. Healthline. Retrieved May 4, 2023.

  5. Pathak, N. (2022, September 21). Elderberry: Health Benefits, Risks, Uses, Effectiveness. WebMD. Retrieved May 4, 2023.

  6. ประโยชน์ของเอลเดอร์เบอร์รี และข้อควรระวังในการรับประทาน. (n.d.). Pobpad. Retrieved May 4, 2023.

  7. Elders, M. J. (2017). Medicinal use of elderberry. Canadian Family Physician, 63(11), 881-883.

  8. Lefton, J., & Wong, C. (2023, January 9). Elderberry: Benefits, Side Effects, Dosage, Interactions. Verywell Health. Retrieved May 4, 2023.

  9. Tiralongo, E., Wee, S. S., & Lea, R. A. (2016). Elderberry supplementation reduces cold duration and symptoms in air-travellers: A randomized, double-blind placebo-controlled clinical trial. Nutrients, 8(4), 182. 

  10. Ministry of Health. (2020). Elderberry. 

  11. Crozier, S. (2020, November 20). The Benefits of Elderberry for Your Immune System, Heart, and More. Insider. Retrieved May 4, 2023.

  12. Bridgman, K. (2018, August 30). Use elderberries to boost immunity and protect against heart disease. Wellbeing Magazine. Retrieved May 4, 2023.

  13. Tangella, K. (2018, October 29). 7 Health Benefits Of Elderberries. DoveMed. Retrieved May 4, 2023.

  14. Shubrook, N. (n.d.). Top 5 health benefits of elderberry syrup. BBC Good Food. Retrieved May 4, 2023.

  15. Womersley, V. (2023, March 17). Can You Take Elderberry While Pregnant? | Peanut. Peanut App. Retrieved May 4, 2023. 

  16. Vlachojannis, J. E., Cameron, M., & Chrubasik, S. (2010). A systematic review on the sambuci fructus effect and efficacy profiles. Phytotherapy Research, 24(S1), S1-S8. 

  17. Krawitz, C., Mraheil, M. A., Stein, M., Imirzalioglu, C., Domann, E., Pleschka, S., & Hain, T. (2011). Inhibitory activity of a standardized elderberry liquid extract against clinically-relevant human respiratory bacterial pathogens and influenza A and B viruses. BMC Complementary and Alternative Medicine, 11(1), 16.

  18. Porter, R. S., Bode, R. F., & Maitland, H. D. (2017). Elderberry: a functional food with antioxidant properties. Journal of Dietary Supplements, 14(1), 42-54. 

  19. Elderberry Benefits: From Weight Loss To Vision Enhancement. (2018, December 20). Ayurvedum. Retrieved May 4, 2023.

shop now