อย่าปล่อยให้ตับของคุณพัง จนย้อนกลับไม่ได้! เพราะตับเสมือนหัวใจดวงที่ 2 ของร่ายกาย จึงไม่ควรละเลย มาเช็กตับอักเสบ จะมีอาการอย่างไร พร้อมวิธีการป้องกันโรค

ตับอักเสบ คืออะไร?

โดยปกติแล้ว ‘ตับ’ ทำหน้าที่ในการควบคุมสารอาหาร ช่วยสังเคราะห์โปรตีน ผลิตสารชีวเคมีที่ช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร ช่วยให้ระบบภายในร่างกายทำงานได้ตามปกติ แต่เมื่อเกิดตับอักเสบขึ้นมา ก็จะส่งผลให้ตับเกิดพังผืด หรือมีแผลเป็นในเนื้อตับจนเกิดการอักเสบ และกระจายทั่วตับ จนเกิดภาวะตับแข็ง ส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้ โดยสามารถแบ่งประเภทของตับอักเสบออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่1

  • ตับอักเสบเฉียบพลัน คือ ภาวะที่ตับอักเสบอันเกิดจากหลากหลายสาเหตุ แต่หายได้ในระยะเวลา 6 เดือน
  • ตับอักเสบเรื้อรัง คือ ภาวะที่ตับอักเสบอันเกิดจากหลากหลายสาเหตุมาอย่างยาวนาน และไม่สามารถหายไปเองได้ โดยหากทำการตรวจเลือดจะตรวจพบร่องรอยของการอักเสบ แต่มักไม่แสดงอาการอื่นๆ จนกว่าจะถึงขั้นตับวาย

ตับอักเสบมีอาการอย่างไร?

ตับอักเสบมีอาการอย่างไร?

ตับอักเสบ คือภาวะที่ตับทำงานผิดปกติ จนไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ โดยภาวะตับอักเสบในระยะแรก มักไม่แสดงอาการใดๆ แต่จะพบจากผลตรวจสุขภาพที่บ่งบอกถึงค่าตับที่ผิดปกติ ดังนั้น การตรวจสุขภาพประจำปีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกายว่ายังสมบูรณ์อยู่หรือไม่ โดยตับอักเสบมักมีอาการ ดังนี้

  • มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • อ่อนเพลีย ปวดตามข้อ
  • มีอาการจุกแน่นบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • มีอาการเบื่ออาหาร
  • มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง

ตับอักเสบเกิดจากอะไร?

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ทั้งจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต การกินยา หรือการติดเชื้อไวรัส ก็สามารถทำให้เกิดภาวะตับอักเสบได้เช่นกัน2,3 โดยสามารถแบ่งสาเหตุหลักๆ ได้ ดังนี้

ดื่มแอลกอฮอล์จัด

การดื่มแอลกอฮอล์สามารถก่อให้เกิดโรคตับอักเสบได้ โดยแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปนั้น จะไปทำลายเซลล์ตับ ทำให้เกิดแผลเป็นในตับก่อน เมื่อเกิดแผลเป็นมากขึ้นๆ ก็จะเข้าสู่ภาวะตับอักเสบ เกิดพังผืดในเนื้อตับ จนนำไปสู่ภาวะตับแข็งในที่สุด

ภาวะไขมันพอกตับ

ผู้ที่เป็นโรคไขมันพอกตับมักมีความเสี่ยงที่จะเกิดตับอักเสบได้ง่าย เนื่องจากมีไขมันมาเกาะอยู่บนตับเป็นปริมาณมาก ทำให้เซลล์ตับเกิดการบวม จนเกิดตับอักเสบได้ในที่สุด

ภูมิต้านทานผิดปกติ

ภูมิต้านทานผิดปกติ สามารถทำให้เกิดตับอักเสบได้ โดยร่างกายจะสร้างแอนติเจนเข้าไปทำลายเซลล์ตับ ทำให้เกิดแผลในตับจนเกิดภาวะตับอักเสบในที่สุด ซึ่งในปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยตับอักเสบที่เกิดจากภูมิต้านทานผิดปกติมักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายถึงสามเท่า และพบได้ในทุกวัย

การกินยาบางชนิด

ยาบางชนิดมีส่วนผสมที่ทำให้เกิดตับอักเสบได้ เช่น การกินพาราเซตามอลในปริมาณมากกว่า 200mg ต่อ น้ำหนักตัว 1 kg. ในครั้งเดียว หรือกินยากลุ่มบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (non-steroidal antiinflammatory drugs หรือ NSAIDs) อย่าง แอสไพริน ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดตับอักเสบได้เช่นกัน 

ตับอักเสบจากไวรัส

ตับอักเสบเกิดจากไวรัสได้เช่นกัน โดยในปัจจุบันมีการพบไวรัสตับอักเสบอยู่ทั้งหมด 5 ชนิด3 ได้แก่

  • ไวรัสตับอักเสบเอ เกิดจากการกินอาหารที่ปนเปื้อน เป็นการติดเชื้อแบบเฉียบพลัน มักมีอาการไข้ อ่อนเพลีย ตัวเหลือง ตาเหลือง
  • ไวรัสตับอักเสบบี เกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รอยสัก เข็มฉีดยา การให้เลือด โดยไวรัสตับอักเสบบีมักมีอาการเรื้อรัง ค่อยเป็นค่อยไป และในผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการผิดปกติใดๆ จนกว่าจะเกิดการอักเสบที่รุนแรง
  • ไวรัสตับอักเสบซี เกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เข็มฉีดยา รอยสักต่างๆ คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี สามารถรักษาหายได้ด้วยการกินยาต้านเชื้อไวรัส
  • ไวรัสตับอักเสบดี สามารถติดต่อจากผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเท่านั้น โดยไวรัสตับอักเสบดีเป็นไวรัสที่มีผู้ติดเชื้อน้อยมาก แต่ในปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสชนิดนี้ และอาการตับอักเสบจะมีความรุนแรงกว่าแบบอื่นๆ
  • ไวรัสตับอักเสบอี เกิดจากการกินอาหารที่ปนเปื้อน มักมีอาการแบบเฉียบพลันคล้ายกับไวรัสตับอักเสบเอ เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย ตัวเหลือง ตาเหลือง

วิธีป้องกันก่อนจะเป็นตับอักเสบ

วิธีป้องกันก่อนจะเป็นตับอักเสบ

กันไว้ดีกว่าแก้! เลือกดูแลป้องกันตับอักเสบไว้ก่อน ดีกว่ารอเป็นแล้วค่อยแก้ทีหลัง แนะนำให้ปฏิบัติตน ดังนี้

งดดื่มแอลกอฮอล์

การหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ช่วยป้องกันตับอักเสบได้ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะเข้าไปทำลายเซลล์ตับ ทำให้เกิดแผลในตับ จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์3

ปรึกษาแพทย์ในการกินยาบางชนิด

ยาบางชนิดสามารถก่อให้เกิดตับอักเสบได้ เช่น พาราเซตามอล หรือแอสไพริน ซึ่งเป็นกลุ่มยาต้านการอักเสบ หากกินเกินปริมาณที่เหมาะสม จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยากลุ่มนี้

ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

จากที่ได้ทราบกันแล้วว่าโรคตับอักเสบนั้น ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการอื่นๆ จนกว่าจะไปสู่ภาวะตับอักเสบขั้นรุนแรง ดังนั้น การหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ เป็นการตรวจสุขภาพของตับ ว่าตับยังคงทำงานได้ตามปกติหรือไม่

ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส

ในปัจจุบันมีการฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ และบี แนะนำให้ทุกๆ คนเลือกฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิต้านทาน ลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะตับอักเสบรุนแรง และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน 

กินอาหารที่ดีต่อตับ

เลือกกินอาหารที่ดีต่อตับ เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการป้องกันโรคตับอักเสบ ซึ่งในปัจจุบันมีอาหารที่ช่วยบำรุงตับอยู่มากมาย ได้แก่

ผักใบเขียว

ผักใบเขียว มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการสะสมโลหะหนัก และล้างสารเคมีที่สะสมในตับ เช่น ผักตระกูลกระหล่ำอย่างบรอกโคลี ผักคะน้า ดอกกระหล่ำ กระหล่ำปลี ที่มีสารอินโดลช่วยลดโอกาสเกิดไขมันพอกตับได้ หรือเลือกกินอัลมอนต์ที่มีวิตามินอีสูง ลดโอกาสเกิดไขมันพอกตับได้เช่นกัน5

องุ่น

องุ่น อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระประเภท Resveratrol ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสุขภาพ ทำให้สุขภาพตับดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยพบว่าองุ่นสามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรคไขมันพอกตับได้อีกด้วย7

เครื่องเทศ

เครื่องเทศบางชนิดอย่างชะเอมเทศ รากโสม กระเทียม ขิง สารสกัดจากชาเขียว และขมิ้นชัน มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยบำรุงสุขภาพตับ ลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับตับ ไม่ว่าจะเป็นตับอักเสบ ไขมันพอกตับ และยังช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งตับได้อีกด้วย8

ธัญพืช

ธัญพืชที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี ถั่วแดง ถั่วเขียว ช่วยบำรุงตับได้ เนื่องจากไฟเบอร์จะช่วยลดการดูดซึมไขมัน ลดโอกาสเกิดไขมันพอกตับ4

ทั้งนี้สามารถเลือกกินอาหารเสริมเพื่อบำรุงป้องกันตับอักเสบได้เช่นกัน แนะนำให้กินอาหารเสริมร่วมกับการออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ออกกำลังกาย

การออกกำลังกาย เป็นการเสริมสร้างภูมิต้านทาน ช่วยป้องกันการเกิดตับอักเสบ โดยมีงานวิจัยระบุว่าออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 10-30 นาที จะช่วยให้ตับทำงานได้ดียิ่งขึ้น แนะนำให้เลือกออกกำลังกายด้วยการเดินเร็วอย่างน้อย 30 นาที หรือวิ่งช้าๆ อย่างน้อย 15 นาที

สรุป

ตับ เป็นอวัยวะที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย อีกทั้งยังมีหน้าที่ที่หลากหลาย ทั้งช่วยควบคุมสารอาหาร สร้างสารอาหารที่จำเป็น และยังช่วยขจัดของเสียออกจากร่างกายอีกด้วย ซึ่งหากตับได้รับความเสียหาย จนเกิดตับอักเสบ ก็จะส่งผลต่อระบบต่างๆ ภายในร่างกายได้ จึงควรดูแล ’ตับ‘ ให้ดี หมั่นตรวจเช็กร่างกายอยู่เสมอ กินอาหารที่ดี และเสริมด้วยวิตามินที่มีประโยชน์เพื่อบำรุงให้ร่างกายของเรานั้นอยู่กับเราไปได้อีกนานแสนนาน

shop now